วัดบ้านกลับ ตำบลโททะเล อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี16150 โทร.081-981-0582

ประวัติวัด

วัดบ้านกลับ  เดิมเป็นวัดที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา  มีนามตามชื่อบ้าน                                                                                                 

ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์  คือ  นายดอก  วีรบุรุษของไทยในศึกค่าย  
บางระจัน  เป็นคนชาวบ้านกลับและเป็นนายบ้านผู้ก่อตั้งบ้าน กลับ       

 

วัดบ้านกลับ ตั้งอยู่บ้านกลับ หมู่ที่  ๖  ตำบลโพทะเล  อำเภอค่ายบางระจัน  จังหวัดสิงห์บุรี  สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย  
วัดบ้านกลับนี้เดิมทีชื่อ  วัดสวนดอกไม้ วัดนี้ก็ได้ตั้งอยู่ริมน้ำ    ชื่อวัดสวนดอกไม้ ต่อมาเปลี่ยนเป็นวัดหนองบ้านกลับ  เดิมทีที่นี่สถานที่เป็น

หนอง และได้มีต้นกลับอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งต้นกลับนี้มีลักษณะคล้ายแห้วแต่ไม่ใช่มีหัวคล้ายขิงหรือข่าจัดเป็นวัชพืชชนิดหนึ่ง ภายหลังได้มีการใช้ยากำจัดวัชพืชจึงทำให้ต้นกลับนี้หายสาบศูนย์ไปปัจจุบันคนรุ่นใหม่และเด็ก ๆ แถวนี้ก็ไม่รู้จักว่าต้นกลับมีรูปร่างเป็นลักษณะเช่นไร จากการได้รับฟังมาจาก แม่ป้อม  หงษ์ทอง  อายุ  ๙๐  ปี  ซึ่งได้รับฟังมาจากตาเล่าไว้   ซึ่งต่อมาคงได้เปลี่ยนชื่อวัดเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนชื่อของหมู่บ้าน  จึงได้ใช้ชื่อว่า  วัดบ้านกลับ

ประวัติความเป็นมาของนายดอก                                                                             

นายดอกที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัดบ้านกลับเป็นวีระชนชาวบ้านบางระจัน ๑ใน๑๑คนที่มีจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา 
       ประวัตินายดอกนั้นเดิมเดิมทีชื่อ  ดอกไม้ จากการบอกเล่าของพระครูวิชิตวุฒิคุณ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์เก้าต้น  ค่ายบางระจัน  เป็นครูมวยอยู่แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ  ขณะนั้นพม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา  ผ่านแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ  ทำให้นายดอกจำต้องอพยพ  ผู้คนมาตั้งหมู่บ้านใหม่ชื่อบ้านตลับ และนายดอกก็เป็นนายบ้าน(ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นบ้านกลับ )ตั้งอยู่ตำบลโพทะเลอำเภอค่ายบางระจันจังหวัดสิงห์บุรีและได้รวบรวมสมัครพรรค  พวกซึ่งประกอบไปด้วยนายดอก นายทองแก้วขุนสรรค์ พันเรือง นายทองเหม็น นายจันทร์หนวดเขี้ยว นายทองแสงใหญ่ นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมืองไปรวมตัวกันตั้งค่ายที่วัดโพธิ์เก้าต้นที่ค่ายบางระจัน  สู้รบกับพม่าจนตัวเองต้องเสียชีวิตในสนามรบ 

 

 วัดนี้คงจะได้รับการกระทบกระเทือนเมื่อคราวข้าศึกรุกรานเหมือนกับวัดอื่น ๆ  ในละแวกนี้  ทำให้วัดทรุดโทรมกลายเป็นสภาพวัดร้างไปในบางช่วง  ระยะหนึ่งซึ่งยังมีวิหาร  และซากฐานเจดีย์เก่าปรากฏให้เห็นเป็นหลักฐานอยู่บ้าง 
ต่อมาชาวบ้านได้ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมา  เป็นวัดมีพระสงฆ์อีกครั้งหนึ่งนับตั้งแต่วันที่  ๙  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๔๑๗  และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาวันที่  ๑๒  มีนาคม พ.ศ.  ๒๕๐๘  เขตวิสุงคามสีมากว้าง  ๔๐  เมตร  ยาว  ๘๐  เมตร  ได้ผูกพัทธสีมาวันที่  ๑๕  มีนาคม พ.ศ.  ๒๕๑๗ 
มีโรงเรียนประถมศึกษาของทางราชการตั้งอยู่ที่วัดนี้ด้วย



หลักธรรมที่ควรรู้
สัพพะปาปัสสสะอะกะระณัง,  

การไม่ทำบาปทั้งปวง, 
กุสะลัสสูปะสัมปะทา, การทำกุศให้ถึงพร้อม, 
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง  การชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส,

เอตัง พุทธานะสาสะนัง, 

ธรรม ๓ อย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.